สรุปประสบการณ์ในปี 2016

ปีนี้มี journey ค่อนข้างหลากหลาย เขียนไว้เตือนตัวเอง ปีหน้าจะได้กลับมาเห็นอีก 🙂 เป็นเหมือนการบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัว และ learning ที่ได้กลับมา (อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ โปรดใช้วิจารณญาณ) 1. สิ่งที่สำคัญสุดเรื่องงาน คือ “คน” การทำงานร่วมกับใคร มันไม่ใช่แค่เห็นว่าอยากจะทำอะไรด้วยกัน หรือคิดจะทำอะไรเหมือนกัน แต่ต้องดูทัศนคติ นิสัย วิธีการทำงาน ถ้าตรงกัน เข้ากันได้ รับกันได้ เข้าขากัน ก็จะเป็นทีมงานที่ดี เมื่อทีมงานดี งานก็จะดีตาม แน่นอนว่า คงหายากที่จะเข้ากันได้เป๊ะๆ แต่ต้องปรับเข้าหากันได้ ไม่ต่างจา

สรุปประสบการณ์ในปี 2016
ปีนี้มี journey ค่อนข้างหลากหลาย เขียนไว้เตือนตัวเอง ปีหน้าจะได้กลับมาเห็นอีก 🙂
เป็นเหมือนการบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัว และ learning ที่ได้กลับมา (อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ โปรดใช้วิจารณญาณ)
1. สิ่งที่สำคัญสุดเรื่องงาน คือ “คน” การทำงานร่วมกับใคร มันไม่ใช่แค่เห็นว่าอยากจะทำอะไรด้วยกัน หรือคิดจะทำอะไรเหมือนกัน แต่ต้องดูทัศนคติ นิสัย วิธีการทำงาน
ถ้าตรงกัน เข้ากันได้ รับกันได้ เข้าขากัน ก็จะเป็นทีมงานที่ดี เมื่อทีมงานดี งานก็จะดีตาม
แน่นอนว่า คงหายากที่จะเข้ากันได้เป๊ะๆ แต่ต้องปรับเข้าหากันได้ ไม่ต่างจากการเลือกคู่
แต่ถ้าไม่ใช่แล้ว (ทำงานแล้วอึดอัด ไม่สะดวกใจ รู้สึกว่าเค้าเอาเปรียบเรา) ก็ลองถอยออกมา ดีกว่าเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น แล้วจะแก้ไขลำบาก
เรื่องนี้ผมเจอมาเยอะ มีคนมาชวนทำนู่นนี่อยู่ตลอด และเคยเจ็บตัวกับเรื่องพวกนี้มาพอสมควร ผมจึงให้เวลากับการดูคนเยอะเป็นพิเศษ
ถ้ามีสัญญาณอะไรบางอย่างที่ประเมินแล้วไม่น่าจะโอเค ก็เลือกที่จะถอย และจะไม่เสียดายโอกาสเลย เพราะคิดว่าถ้าทำต่อไป คงทำได้ไม่ดี
2. ในชีวิตจริง เราจะเจอคนหลากหลายมาก
บางคนทำงานเก่งแต่พูดไม่เป็น บางคนพูดเก่ง แต่ทำงานไม่เป็น
บางคนขี้โม้ ขี้อวดอย่างเดียว แต่ไม่ทำงานอะไรเลย
จะดูว่าใครเป็นยังไง ให้ดูที่การกระทำเป็นหลัก
ดูผลงานของเค้าว่าทำอะไรมา ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันรึเปล่า
ที่บอกคนอื่นว่าตัวเองเจ๋งอย่างนั้นอย่างนี้ มันสะท้อนผลงานของเค้าในอดีตยังไงบ้าง
เรื่องพวกนี้ดูไม่ยาก คุยกับเค้าอาจจะเคลิ้ม เพราะพูดเก่ง
จำไว้อย่างเดียว คือ มองไปที่ผลงาน ถามจากหลายๆคน
คำพูด การ self-PR ต่างๆ ถือว่าเป็นสีสัน อย่าไปยึดติดจริงจังกับมันมาก ฟังเอาสนุกๆ
3. “โฟกัส” เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ส่วนตัวเป็นคนที่มีงานเข้ามาพอสมควร และเรามีประสบการณ์จากเรื่องแบบนี้มาแล้ว
“การเลือก” และ “การปฏิเสธ” เป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าอาจจะจะมีผลตอบแทนดี
ผมมี goal ของตัวเองในใจแล้วว่าจะต้องทำอะไร และพยายามจะต้องนึกถึง goal ตัวนี้ทุกครั้ง
ถ้าเราไม่โฟกัสไปที่เป้าหมาย งานหลักที่เราต้องสร้างมันขึ้นมาก็จะลำบาก เพราะจะมีคนดึงโฟกัสเราออกจากเป้าหมายตลอดเวลา
งานเขียนหนังสือ งานเดินสายบรรยาย งานเขียนคอลัมน์ บทความต่างๆ หรือเป็นแขกรับเชิญออกรายการทีวี ก็เป็นงานที่ชอบ และอยากทำ
หลายครั้งก็เลือกที่จะปฏิเสธไป
แอบเสียดาย แต่ไม่เสียใจ คิดว่าคงมีโอกาสคงได้กลับมาทำอีก
เราไม่ควรดีใจและตอบรับไปกับทุกโอกาสที่เข้ามา การหัดปฏิเสธโอกาส และการหัดปฏิเสธคน ก็เป็นทักษะสำคัญที่ต้องฝึกฝน
4. “ช่างแม่ง” ฟังดูอาจจะไม่สุภาพ แต่ก็เป็นคำที่แสดงถึงการปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ยึดติด
ปีนี้มีเรื่องที่ช่างแม่ง หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้ แก้ไขอะไรมันไม่ได้
ลองโฟกัสในเรื่องที่แก้ไขได้ ทำได้ด้วยตัวเราเองดีกว่า
ในชีวิตจริง ยังต้องเจออะไรอีกเยอะ ต้องหัดทำใจ ตัดใจ ปล่อยวาง
5. คำนินทา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมีคนรัก ก็ต้องมีคนเกลียด เป็นธรรมดา นึกถึงคำว่า “ช่างแม่ง” เอาไว้
เราห้ามไม่ให้คนอื่นพูด หรือคิดได้ เค้าจะตัดสินเราอะไรยังไงก็เรื่องของเค้า
คนบางคน ตัดสินจากการฟังความข้างเดียว คิดเอง เออเอง หรือเลือกเชื่อแบบมี bias มากกว่าจะเชื่อ ตามหลักกาลามสูตร ของศาสนาพุทธ ข้อมูลไม่มี ไม่เคยถามหาเหตุผล แต่ก็ตัดสินไปแล้ว
นั่นเป็นปัญหาของเค้า ไม่ใช่ปัญหาของเรา
สิ่งที่เค้าจะได้รับ ในตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ คือ ผลของการตัดสินใจจากการฟังความข้างเดียว หรือการคิดและตัดสินไปเองคนเดียว ซึ่งจะนำไปสู่การสูญเสียอะไรบางอย่าง และเกิดการตัดสินใจผิดพลาดกับบางอย่างในชีวิต
6. อะไรที่ไม่ใช่ อย่าไปฝืน แม้ว่าจะดี ก็อย่าไปเสียดาย
ความรักก็เช่นกัน บางครั้ง ก็ไม่เกี่ยวหรอกว่าคนดีหรือคนไม่ดี แต่ความใช่ เป็นความรู้สึกที่สำคัญ เวลาคนเรามีค่ามากเกินกว่าการสูญเสียที่เกิดจากความไม่ใช่
บางทีเราก็รัก แต่เมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว มันไม่ใช่ อนาคตร่วมกันคืออะไร
นึกตอนอยู่ด้วยกัน เป็นยังไง ก็ต้องหัดตอบตัวเองว่า เราโอเคมั้ยกับการเป็นแบบนี้
ถ้าโอเค ก็อาจจะคบกันต่อไปได้ แต่ถ้าไม่โอเค ก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด
อีกทักษะที่ต้องฝึก คือ การตัดใจ และการเดินหน้าต่อไป เพราะคนเราต้องอยู่กับปัจจุบัน และอนาคตที่ดี ก็มาจากทำปัจจุบันให้มันดี อดีตมันผ่านไปแล้ว เรากลับไปทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่ใช่หนัง About the time ซะหน่อย
7. ตอนหนุ่มๆ เวลามีไอเดียอะไร คิดแค่ว่า “Just do it” ดีกว่าคิดอย่างเดียว แต่ไม่ทำอะไรเลย
พออายุมากขึ้น แค่นี้คงไม่พอ แต่ต้องเป็น “Just do it smartly” หรือ ทำอย่างฉลาดด้วย เพราะเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง
ทำอย่างฉลาด คือ การเริ่มต้นด้วยการคิดถึงผลลัพท์ ว่าทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร ทำแล้วจะเกิดผลลัพท์ยังไง
พยายามนึกถึงตอนจบ มันจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่า ควรจะลงมือทำมั้ย (จะได้ไม่เสียแรง เสียเวลา) และควรจะทำยังไงให้สำเร็จ (ต่างจาก ทำยังไงให้เสร็จ)
ถ้ารู้ตัวเองว่าทำไปทำไม เพื่ออะไร ได้อะไร โอกาสสำเร็จก็จะมีสูงขึ้นมาก
8. เวลาที่ใครก็ตาม พูดว่า “สนิท” กับคนนั้น คนนี้ ก็อย่าเพิ่งไปเชื่อ ความสนิทมีหลายระดับ บางคน เคยเจอกันตามงานแค่แป๊บๆ ก็บอกแล้วว่าสนิทกัน ทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย เรียกสนิทได้ยังไง 55
เจอมาเยอะมากในชีวิต กับคำว่าสนิทกัน ซี้กัน ถ้าเจอคนพูดแบบนี้ ให้ฟังหูไว้หู
9. การรับปาก ทำอะไรกับใคร บางครั้งก็ไม่สามารถถือเป็นเรื่องจริงจังได้ เพราะบางครั้ง การรับปาก ก็มาจากการปฏิเสธคนไม่เป็น หรือไม่อยากปฏิเสธ ไม่อยากทำให้เสียน้ำใจ เลยรับๆไปก่อน
ดูที่การกระทำ ถ้ารับปากและมี action อะไรออกมา มีการ follow up แสดงว่าคนคนนั้นมีความจริงใจและรักษาคำพูดของตัวเอง
ความน่าเชื่อถือของคน ก็วัดกันจากตรงนี้แหละ
10. เพื่อน ไม่จำเป็นต้องมีเยอะแยะมากมาย
เพื่อนกิน เพื่อนคุย เพื่อนเที่ยว เพื่อนที่ทำงาน ก็มีไปตามปกติ คุย เจอกัน ตามโอกาส
แต่ต้องมีเพื่อนสนิท ที่ไว้ใจได้ เข้าใจเรา และพร้อมจะเข้าข้างเรา กล้าบอกเราถ้าทำอะไรไม่ถูกต้อง แต่ไม่ตัดสินเรา
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ถ้ามีคนที่เราโทรหาได้ดึกๆ เค้ามาหาเราได้ทันทีโดยมีข้ออ้าง ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ นั่นคือ เรามีเพื่อนที่สุดยอดมากๆแล้ว ทั้งหายาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะมี โชคดีมาก ที่ผมมีเพื่อนแบบนี้
เดี๋ยวมีต่อเรื่อยๆ นะฮะ บทเรียนมีเยอะ ตามอายุ 5555